พระเขียน (จาน) คำภีร์ใบลานล้านนาหนึ่งเดียวในพะเยา
พระสงฆ์เจ้าอาวาสวัดพระธาตุโพธิ์งาม หมู่ที่ 4 ตำบลดอกคำใต้ อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา สืบสานอนุรักษ์การจานคำภึร์ใบลาน ล้านนา เพื่อให้เยาวชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ภาษาล้านนา ที่เป็นบทสวดมนต์ ตำรายา และเรื่องราวทางพุทธศาสนา ที่เป็นภาษาล้านนา โดยวิธีการจานหรือเขียนไว้ในใบลาน เพื่อไม่ให้สูญหายไป
พระทศพร ถาวรปญโญ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุโพธิ์งาม กำลังนั่งจานใบลาน หรือเขียนอักขระภาษาล้านนาลงสู่ใบลาน พร้อมทั้งชุบหมึกที่เป็นสีแท่งโบราณที่คนในยุคก่อนใช้ในการจารึกคำภีร์ต่างๆไว้ในใบลาน ถือเป็นการอนุรักษ์คัมภีร์ใบลาน ที่ยังคงมีให้เห็นไม่มากนักในสมัยนี้ ในพื้นที่จังหวัดพะเยา หรือจะเป็นหนึ่งเดียวในจังหวัดก็ว่าได้ที่ยังคงสืบสานอนุรักษ์การจานใบลาน แบบภาษาล้านนาดังกล่าวไว้ หลังพระทศพร ถาวรปัญโญ ได้มีแนวคิดที่จะอนุรักษ์การจานใบลานแบบโบราณดังกล่าวไว้ เพื่อไม่ให้สูญหายไป และยังคงที่จะร่วมสืบทอดเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ร่วมกันศึกษาภาษาล้านนาให้คงอยู่
โดยพระทศพร เล่าว่า การจานใบลานดังกล่าวนั้น ในอดีตจะมีการทำกันอย่างแพร่หลาย โดยการจดบันทึกของคนสมัยโบราณนั้นจะไม่มีสมุด หนังสือเหมือนปัจจุบัน จะเก็บข้อมูลเรื่องราวต่างๆไว้ในใบลาน ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะใช้ภาษาที่เป็นภาษาถิ่นของตนเอง โดยส่วนใหญ่จะเป็นบทสวดมนต์ คาถา ตำรายา เรื่องราวทางพุทธศาสนา ตนเองเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า จึงได้ทำการศึกษาค้นคว้าจากผู้เฒ่า ผู้แก่ และผู้รู้ตามที่ต่างๆจากนั้นจึงได้ทำการอนุรักษ์และสืบทอด เพื่อให้เณรที่อยู่ในวัดตลอดจนชาวบ้าน ได้ทำการศึกษาเพื่อเป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ไม่ให้สูญหาย และเพื่ออนุรักษ์คัมภีร์โบราณภาษาล้านนาต่างๆไว้ให้ได้ศึกษากันต่อไป ซึ่งการบันทึกไว้ในใบลานนั้นจะไม่ค่อยเกิดการเสียหาย จึงได้สืบสานและอนุรักษ์ไว้เพื่อให้คงอยู่คู่กับชาวล้านนาตลอดไป
สำหรับการจานคำภีร์ใบลานนั้น จะทำการโดยการคัดเลือกใบลาน การเก็บรักษาและการนำใบลานมาเขียนหรือจาน จากนั้นก็จะใช้แท่งไม้เหลาลักษณะคล้ายดินสอ บริเวณหัวจะใช้เหล็กกล้าเป็นหัวคล้ายปากกา จากนั้นจะทำการจานหรือเขียนบนใบลาน เพื่อให้เป็นรอยตัวหนังสือ ซึ่งเป็นภาษาล้านนา และเสร็จแล้วก็จะนำหมึกแท่งแบบโบราณที่ทำการฝนผสมกับน้ำทำการชุบบนใบลานที่เขียน ซึ่งหมึกดังกล่าวจะมีความคงทนไม่จางหายไป และมีอายุทนทานนับร้อยปี ซึ่งถือว่าการจานคำภีร์ใบลาน ของวัดพระธาตุโพธิ์งามแห่งนี้ ถือได้ว่าน่าจะเป็นแห่งเดียวที่คงอนุรักษ์วัฒนธรรมดังกล่าวไว้ เพื่อไม่ให้สูญหายไป